4.8 เทคนิคการพัฒนาองค์การในการจัดการความขัดแย้งในองค์การ
เทคนิคการพัฒนาองค์การที่สามารถนำมาใช้กับการจัดการเกี่ยวกับความขัดแย้งในองค์การมีมากมาย ซึ่งเทคนิคการพัฒนาองค์การที่สามารถนำมาใช้ในการจัดการความขัดแย้งในองค์การนี้ ตามแนวความคิดของ ไมเคิล เอ ฮิทท์ กับคณะ (Michael A Hitt and others) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. เทคนิคในการพัฒนาระหว่างบุคคลและกลุ่ม (Interpersonal and Intergraph Development Techniques) เทคนิคการพัฒนาระหว่างบุคคลและกลุ่ม เทคนิคในกลุ่มแรกนี้เป็นเทคนิคที่มุ่งสร้างทักษะต่างๆของบุคลากรในองค์การ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกลุ่มรวมทั้งการพัฒนาทีมงาน เป้าหมายของเทคนิคกลุ่มแรกนี้ ได้แก่
(1) การลดระดับของการแข่งขันและความขัดแย้งระหว่างบุคคลและกลุ่ม
(2) ช่วยกระตุ้นความขัดแย้งที่มีลักษณะสร้างสรรค์
(3) ป้องกันความขัดแย้งที่มีลักษณะทำลาย
ความร่วมมือร่วมใจกันและการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในองค์การโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจกัน เคารพ และซื่อสัตย์ซึ่งกันและกันเทคนิคในกลุ่มแรก ได้แก่
(1) การฝึกอบรมโดยกระบวนการกลุ่ม (Sensitive Training) เป็นเทคนิคที่มีเป้าหมายในตัวของมันเองอยู่หลายประการด้วยกัน เช่น ต้องการทำให้สมาชิกในองค์การรู้จักตนเองมากขึ้น(Self-Awareness) เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเคารพความคิดเห็นของคนอื่น ทำให้สมาชิกมีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มขึ้นมาในองค์การ และยังทำให้สมาชิกในองค์การเข้าใจกระบวนการทำงานเป็นกลุ่มมากขึ้นทำให้เกิดความปรารถนาที่จะประสานงานและร่วมมือร่วมใจในการทำงานกับบุคคลหรือกลุ่มอื่น เป็นต้น การทำให้สมาชิกองค์การได้รู้จักตนเองมากขึ้น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราและสร้างมนุษย์สัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกลุ่มขึ้นมา เป็นการช่วยลดความขัดแย้งลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งที่เกิดจากปัญหาของการติดต่อสื่อสาร และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกลุ่มในองค์การ
(2) การสร้างทีมงาน (Team Building) เทคนิคการสร้างทีมงานนี้ ทำให้เกิดการประสานงานหรือร่วมมือกันในการทำงานของสมาชิกภายในกลุ่มมากขึ้น และเป็นวิธีการจัดการความขัดแย้งระหว่างสมาชิกภายใน ในการสร้างทีมงานนี้จะมีกิจกรรมที่เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน เช่น
- การร่วมมือกันกำหนดเป้าหมายในการทำงานพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในกลุ่ม
- วิเคราะห์บทบาทของสมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันเพื่อที่จะทำให้หน้าที่และความรับผิดชอบของสมาชิกกลุ่มมีความชัดเจน
- วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของกลุ่ม
กิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวมานี้จะทำให้สมาชิกของกลุ่มเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และร่วมือร่วมใจกันขึ้นมา สมาชิกกลุ่มจะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของหรือมีความผูกพันกับกลุ่มมากขึ้น เพราะแต่ละคนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและแก้ไขปัญหาด้วยกันนั่นเอง สภาพการทำงานเป็นทีม จะช่วยกระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มมีแรงใจในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้กับกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยทำให้สมาชิกเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้วางใจกันและมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเปิดเผย ซึ่งสรุปที่เกิดขึ้นนี้สามารถป้องกันหรือช่วยแก้ไขความขัดแย้งที่มีลักษณะทำลายได้เป็นอย่างดี
2.เทคนิคในการพัฒนาโครงสร้างขององค์การ(Structural Development Techniques) เทคนิคในการพัฒนาโครงสร้างองค์การ เทคนิคในกลุ่มที่สองนี้ มีจุดเน้นหนักอยู่ที่การพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์การ เช่น โครงสร้างในเรื่องสิทธิอำนาจเป้าหมายขององค์การและหน่วยงาน กระบวนการและลักษณะการทำงานของสมาชิคในองค์การ เป็นต้น จุดมุ่งหมายที่จะทำให้การพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของสมาชิกในองค์การ เช่น การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายใหม่ ขององค์การ ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ตามไปด้วย เป็นต้น เทคนิคในกลุ่มที่สองนี้ ได้แก่
(1) การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objective) เป็นเทคนิคสำหรับทำให้เป้าหมายการทำงานของบุคลากรในองค์การมีความชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายของหน่วยงานและองค์การโดยส่วนรวมยิ่งขึ้น โดยการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายของการทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร ประโยชน์ของเทคนิคนี้ได้แก่
1. ทำให้บทบาทอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรในองค์การมีความชัดเจนมากขึ้น
2. ทำให้สมาชิกในองค์การมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายของการทำงานซึ่งทำให้สมาชิกในองค์การเกิดความรู้สึกผูกพันมีความเป็นเจ้าของงานมากขึ้น เป็นแรงจูงใจหรือสิ่งกระตุ้นให้สมาชิกในองค์การคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับองค์การได้
3. มีเป้าหมายในการทำงานของแต่ละบุคคลที่มีความชัดเจน ทำให้สมาชิกในองค์การสามารถรู้ได้ว่าความคาดหวังในบทบาทที่มีต่อตัวพวกเขามีอะไรบ้าง เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้สมาชิกในองค์การตื่นตัวในการทำงานอยู่ตลอดเวลา
4. ทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารและการประสานงานระหว่างสมาชิกภายในองค์การหรือหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ สมาชิกในองค์การสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่า งานของตัวเองควรจะติดต่อและประสานงานกับใคร จึงเป็นการป้องกันความขัดแย้งที่มักจะมีปัญหามาจากระบบการติดต่อสื่อสารและประสานงานที่ไม่มีประสิทธิภาพได้อย่างดี
(2) การให้คำปรึกษาในกระบวนการทำงาน (Process Consultation) การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์เน้นในเรื่องการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายของการทำงาน แต่เทคนิคการให้คำปรึกษาในกระบวนการทำงานจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนการต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคคือการทำงานกลุ่ม เช่น กระบวนการติดต่อสื่อสารการไหลของงาน บทบาทหน้าที่ของสมาชิกในการทำงาน กรรมวิธีในการแก้ไขปัญหาร่วมกันกฎระเบียบและปทัสถานของกลุ่ม การร่วมมือกันระหว่างกลุ่มและความขัดแย้งระหว่างบุคคลและกลุ่ม เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้การทำงานเป็นทีมหรือการทำงานของกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และโดยทั่วไปแล้วมักจะให้บุคคลภายนอกเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในกระบวนการทำงาน(Process Consultant) โดยการเข้ามาสังเกตการทำงานของกลุ่มและจะให้คำปรึกษาหรือชี้ให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของกลุ่มแล้วจะให้สมาชิกภายในกลุ่มนั้นแก้ไขปัญหาด้วยตัวของพวกเขาเอง หากสมาชิกภายในกลุ่มสามารถแก้ไขปัญหาและเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นการแก้ไขหรือป้องกันความขัดแย้งที่มีลักษณะทำลายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น